ทัวร์ภาคเหนือ... เมืองรองน่าฮักแต้ 4 วัน 3 คืน
ทัวร์
ระยะเวลา
4 วัน 3 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
22-25 ต.ค. / 11-14 พ.ย. / 19-22 พ.ย. / 10-13 ธ.ค. / 23-26 ธ.ค. 2563
Hilight

โกลบอล ฮอลิเดย์ ขอเชิญท่องเที่ยวเส้นทาง 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน-ตอนล่าง เมืองรอง อุตรดิตถ์-น่าน-แพร่-พิษณุโลก สัมผัสเส้นทางท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและประเพณีวัฒนธรรม ตำนานกระซิบรักเมืองน่าน พักผ่อนสบายๆไปกับวิวทิวทัศน์ทางภาคเหนือของประเทศไทย ร่วมชมกิจกรรมท้องถิ่น ได้ลิ้มรสชาติอาหารเมืองรองที่ไม่เป็นรองใคร พร้อมการบริการและดูแลโดยทีมงานมืออาชีพ “เราจะทำให้วันพักผ่อนของท่านเป็นวันที่มีคุณค่าและมีความหมายมากที่สุด”

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ - อุตรดิตถ์ - น่าน (B/L/D)
    • 06.00 น. คณะผู้เดินทางพร้อมกัน ณ จุดนัดพบ โดยมีหัวหน้าทัวร์คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ท่าน
      06.30 น. ออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ โดยรถตู้ปรับอากาศสู่ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างทาง บริการอาหารเช้าบนรถ (BREAKFAST BOX) <485 กิโลเมตร / 7 ชั่วโมง>
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านป้าหว่างหมี่พัน
      บ่าย นำท่านชม พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองลับแล อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์
      พิพิธภัณฑ์เมืองลับแล เป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติของเมือง วิถีชีวิตและขนบ ธรรมเนียมการใช้ชีวิตของผู้คนในเมืองลับแล โดยจำลองผ่านเรือนในแต่ละหลัง อาทิเช่น สะพานไม้เข้าหมู่บ้าน จัดแสดงเครื่องปั่นฝ้ายกี่ทอผ้าขนาดใหญ่บ่งบอกถึงวิถีการทอผ้าของสาวเมืองลับแล ในปัจจุบันอำเภอลับแลยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรม ได้แก่ ผ้าตีนจก ไม้กวาด ติดอันดับของประเทศ เครื่องสีข้าวโบราณและยุ้งฉาง สะท้อนให้เห็นถึงอาชีพเกษตรกรรมของชุมชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรือนการทำอาหารชาวลับแลหรือคนไทยภาค เหนือส่วนใหญ่นิยมทำอาหารบนเรือนและอาหารที่ขึ้นชื่อของเมืองลับแลคือ หมี่พัน
      จากนั้นนำท่านไปยัง วัดพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่สนใจของบรรดานักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ตั้งอยู่ใน ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์
      คือ พระแท่นศิลาอาสน์ที่อยู่ภายในพระวิหารของวัด ตามตำนานกล่าวว่า พระแท่นศิลาอาสน์ไม่มีปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างขึ้นแต่เชื่อกันว่าเคยเป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาบำเพ็ญเพียรฉันอาหารและบิณฑบาต องค์พระแท่นประดิษฐานอยู่ในพระวิหารบนเนินสูง ถือกันว่าเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์และโบราณสถานอันเก่าแก่ของไทย ลักษณะเป็นพระแท่นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 8 ฟุต ยาว 9 ฟุต 8 นิ้ว สูง 3 ฟุต เดิมเป็นพระแท่นศิลาแลงเปล่าๆไม่มีมณฑปและไม่มีวิหาร ต่อมาได้มีพระมหากษัตริย์ทรงบูรณะ ปฏิสังขรณ์มาตลอด อาทิเช่น พระเจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัย สมเด็จพระเจ้าบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี จนถึงปีพ.ศ. 2451 ได้เกิดไฟป่าไหม้พระมณฑปและวิหารเหลืออยู่แต่เพียงศิลาแลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้โปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ ปัจจุบันเหลือเพียงส่วนที่เป็นฐานมณฑปและวิหารที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น
      แวะกราบสักการะ อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งประดิษฐานอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ตามประวัติ พระยาพิชัยหรือทองดี เกิดในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยามีความสามารถในชั้นเชิงทั้งมวยและดาบ ต่อมาได้เข้ารับราชการกับเจ้าเมืองตาก (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) คอยปราบข้าศึกที่มารุกราน (ประวัติโดยย่อเท่านั้น) และได้ต่อสู้กับกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาตีเมืองพิชัยจนกระทั่งดาบซึ่งใช้ในการรบหัก (พ.ศ. 2316) แต่ก็สามารถป้องกันเมืองเอาไว้ได้ จึงได้รับพระราช ทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพิชัยปกครองเมืองพิชัยที่เป็นบ้านเกิด หลังจากนั้นชาวบ้านได้สดุดีวีรกรรมของท่านและสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญองอาจรักชาติและความเสียสละ นอกจากนี้ในบริเวณใกล้กับอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจคือ พิพิธภัณฑ์ดาบเหล็กน้ำพี้ใหญ่ที่สุดในโลก อีกด้วย
      จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยัง  บ้านขนมเทียนเสวย ชิดดวง กนกมณี เป็นร้านขายขนมโบราณ ขนมเทียนเสวยที่ทำมายาวนานเก่าแก่ โดยร้านนั้นเป็นบ้านเก่าแก่ของผู้ว่าราชการคนแรกของอุตรดิตถ์ อิสระให้ท่านได้ซื้อขนมทานและชมดูบ้านเก่าหลังงาม ส่วนขนมเทียนเสวย เขาทำสดๆแบบวันต่อวัน โดยเนื้อขนมเทียนอร่อยจริงๆเนียนไม่เหนียว เกิน ห่อด้วยใบตอง ขนมเทียนโปรยงาที่นี่จึงเหมาะเป็นของฝากและของทานเล่น
      พาท่านชม ม่อนลับแล ร้านอาหารในอำเภอลับแล ตกแต่งสไตล์ชาวล้านนาตามแบบฉบับของเมืองลับแล ท่ามกลางสวนร่มรื่น ภายในร้านตกแต่งเรียบหรู สะดวกสบาย มีมุมให้นั่ง เล่นพักผ่อนหลายมุม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในคุ้มของเจ้านางทางเหนือ ภายในร้านมีทั้ง โซนร้านกาแฟและร้านอาหาร รวมทั้งเป็นร้านจำหน่ายของฝากและสินค้าหัตถกรรม
      พื้นเมือง ผลไม้ตามฤดูกาล พื้นที่ของร้านแบ่งเป็น 3 โซน คือ บ้านของฝากลับแล ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า ร้านกาแฟลาลีกาซึ่งอยู่ริมถนน และร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุด
      เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ร้านอาหารม่อนลับแล
      หลังจากอาหารเย็น เดินทางต่อไปสู่ จังหวัดน่าน <190 กิโลเมตร / 3 ชั่วโมง>
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ น่านบูติคโฮเทล หรือเทียบเท่า

  • Day 2
    น่าน - อำเภอปัว - อำเภอบ่อเกลือ (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านชมหนึ่งในสถานที่ที่โด่งดังที่สุดของจังหวัดน่านกับภาพเสียงกระซิบบันลือโลก 
      ณ วัดภูมินทร์  แต่เดิมนั้นมีชื่อว่าวัดพรหมมินทร์ เอกลักษณ์ที่แตกต่างจากวัดล้านนาทั่วไปคือ โบสถ์และพระวิหารสร้างอาคารจัตุรมุขหลังเดียวกัน สร้างเมื่อพ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ซึ่งมีข้อสันนิษฐานกันว่าเป็นโบสถ์แบบจัตุรมุขหลังแรกของไทย แล้วพาชม “ฮูบแต้ม” หรือภาพจิตรกรรมภายในวิหาร ซึ่งภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ภาพปู่ม่านย่าม่าน ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวเมืองในสมัยนั้น
      นำท่านกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดพระธาตุแช่แห้ง   มาถึงเมืองน่านไม่ได้มานมัสการ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองน่าน 
      เจดีย์สถานที่สำคัญของเมืองน่าน มีอายุกว่า 667 ปี ตามพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า พญาการเมืองโปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุได้มาจากเมืองสุโขทัย สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 1896 สถาปัตยกรรมด้านโบสถ์ของวัดพระธาตุแช่แห้งแสดงให้เห็น ถึงแบบอย่างสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมสกุลช่างน่าน เจดีย์ทรงระฆังองค์พระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุที่มีขนาดสูงถึง 55.5 เมตรตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 22.5 เมตร มีสีเหลืองอร่าม เนื่องจากบุด้วยแผ่นทองเหลือง พระธาตุนี้ตั้งอยู่บนยอดดอยภูเพียงแช่แห้ง เป็นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองน่านมาช้านาน ทุกปีเมื่อถึงวันขึ้น 11-15 ค่ำ ในราวเดือนมีนาคมจะมีประเพณีนมัสการพระธาตุแช่แห้ง  ที่ชาวน่านเรียกว่า งานหกเป็งนมัสการพระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ตามคติการไหว้พระธาตุตามปีนักษัตรของชาวล้านนา
      คณะเดินทางต่อไปยัง อำเภอปัว ตั้งอยู่ในจังหวัดน่าน <75 กิโลเมตร / 1.5 ชั่วโมง>
      คำว่า “ปัว” เพี้ยนมาจาก “พลัว” ปัว เป็นเมืองสีเขียวในหุบที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติแสนงดงาม เป็นที่อยู่ของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติทั้งชาวไท
      ลื้อ ชาวเผ่าม้ง เมี่ยน และลัวะ โดยประชากรส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทลื้อที่มีประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแต่งกายแบบพื้นบ้าน อย่างเช่น ผ้าทอไทลื้อ ที่สร้างชื่อมาช้านานกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอำเภอนี้ ในช่วงฤดูทำนา เราจะได้เห็นไร่นาเขียวขจีห้อมล้อมด้วยขุนเขาพร้อมสายหมอกบาง ในฤดูหนาวก็จะได้สัมผัสกับอากาศหนาวเย็น สองฟากถนนสายหลักเป็นกลุ่มบ้านไม้ริมถนนรวมถึงซอกซอยที่เชื่อมถึงกันหมดที่ต่างซุกซ่อนชีวิตเรียบง่ายและเป็นหนึ่งเดียวกัน
      แวะชมวิวอำเภอปัวที่ วัดภูเก็ต ถือว่าเป็นวัดที่มีภูมิทัศน์และวิวที่สวยงาม จุดเด่น คือ มีระเบียงชมวิวซึ่งมองเห็นทุ่งนาที่กว้างไกลพร้อมด้วยฉากหลังเป็นภูเขาของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีอุโบสถ์ทรงล้านนาประยุกต์และจิตรกรรมฝาผนังสามมิติ เป็นที่ประดิษฐานของ “หลวงพ่อแสนปัว หรือ หลวงพ่อพุทธเมตตา” ที่ศักดิ์สิทธิ์หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
      นำท่านไปจิบเครื่องดื่มชากาแฟท่ามกลางบรรยากาศไทลื้อพื้นบ้านที่ ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ เป็นอีกหนึ่งร้านเก๋ไก๋ติดริมนาข้าวแฝงไปด้วยบรรยากาศแบบไทลื้อดั้งเดิม ทานเครื่องดื่มซักแก้วไปนั่งเล่นรับลมธรรมชาติชมวิวนาข้าวและขุนเขาที่อยู่เบื้องหน้า พร้อมถ่ายภาพเก๋ๆ ยังกระท่อมปลายนาในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใคร ส่วนใครที่ชื่นชอบผ้าทอไทลื้อ ผ้าทอน้ำไหลลายโบราณชื่อดังของน่านก็สามารถหาซื้อได้ที่ ร้านลำดวนผ้าทอ
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      บ่าย เดินทางต่อสู่ บ่อเกลือโบราณ ตั้งอยู่ในอ.บ่อเกลือ <45 กิโลเมตร / 1 ชั่วโมง 15 นาที> ระหว่างทาง ท่านจะเดินทางผ่านถนนสวยงามที่ติดอันดับยอดนิยมของนักท่องเที่ยว จนได้รับการขนานนามว่า “ถนนลอยฟ้า ดอยภูคา” ถนนหุบเขาที่สวยที่สุดในประเทศไทยหรือทางหลวงหมายเลข 1256 เป็นเส้นทางรถจากพื้นที่อำเภอปัวมุ่งไปสู่อำเภอบ่อเกลือ แวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ก่อนเดินทางต่อไปยัง บ่อเกลือโบราณ จังหวัดน่าน มีชื่อเสียงในด้านการทำเกลือบนภูเขาที่ไม่มีที่ใดเหมือน เกลือสินเธาว์เพื่อบริโภคและจำหน่ายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง บ่อเกลือนี้มีมาแต่โบราณ และนำไปจำหน่ายยังกรุงสุโขทัย เชียงใหม่ เชียงตุง หลวงพระบาง รวมถึงสิบสองปันนา จีนตอนใต้ ในอดีตมีบ่อเกลือหลายบ่อ แต่ปัจจุบันได้เหือดแห้งไปหมด เหลืออยู่เพียงสองบ่อเท่านั้น ชาวบ้านจะเรียกว่า บ่อเหนือ และ บ่อใต้ บ่อเหนืออยู่ริมแม่น้ำบางส่วน บ่อใต้ห่างออกไปราว 500 เมตร ติดเชิงเขาท้ายหมู่บ้าน และด้วยอำเภอบ่อเกลือมีภูมิทัศน์ที่สวยงามโอบล้อมด้วยขุนเขาเขียวขจี บ่อเกลือจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดน่านที่รอคอยนักเดินทางเข้ามาสัมผัสกลิ่นไอของธรรมชาติและตำนานการทำเกลือบนที่สูง อิสระให้ท่านได้เที่ยวชมชุมชนบ่อเกลือตามอัธยาศัย 
      ครั้นได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก <90 กิโลเมตร / 2 ชั่วโมง>
      เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ น่านบูติคโฮเทล หรือเทียบเท่า

  • Day 3
    น่าน - แพร่ (B/L/D)
    • เช้าตรู่ คณะออกเดินทางสู่ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน <80 กิโลเมตร / 1.5 ชั่วโมง> เพื่อนำชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ ดอยเสมอดาว นอกจากนี้ท่านยังสามารถชม ผาหัวสิงห์ ได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย ผาหัวสิงห์ เป็นหน้าผาที่มีลักษณะคล้ายสิงโตนอนหมอบและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จึงเป็นที่มาของชื่อผาหัวสิงห์ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดชมวิวดอยเสมอดาวนั่นเอง
      เช้า รับประทานอาหารเช้าของโรงแรม (breakfast box) 
      นำท่านเดินทางไป วนอุทยานแพะเมืองผี <105 กิโลเมตร / 2.5 ชั่วโมง> ซึ่งถ้าใครมาแพร่แล้วไม่มาแพะเมืองผี ถือว่ายังมาไม่ถึง  แพะเมืองผี เป็นภาษาพื้นเมือง “แพะ” แปลว่าป่าละเมาะ “เมืองผี” แปลว่าเงียบเหงาวังเวงเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกการถล่มของหน้าดินทำให้มีลักษณะแปลกแตกต่างกันไป บ้างดูคล้ายดอกเห็ด หน้าผาและเสาหิน อิสระให้ท่านเดินชมปรากฏการณ์พร้อมเก็บภาพตามอัธยาศัย
      เดินทางไปกราบนมัสการพระธาตุ ณ วัดพระธาตุช่อแฮ <15 กิโลเมตร / 25 นาที> อันเป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่และเป็นพระธาตุประจำปีขาล
      แวะนมัสการ พระธาตุอินทร์แขวนจำลอง ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมมหาโพธิวงศาจริยารามพุทธอุทยานดอยผาสวรรค์เฉลิมพระเกียรติ ร.9 วัดนี้ยังตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งโอโซนติดอันดับ 7 ของประเทศไทย มาไหว้พระขอพรแล้วแถมได้สูดอากาศ ชั้นดีเข้าปอดช่วยชาร์จพลังชีวิต อีกทั้งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีจอ นอกจากท่านจะได้สักการะบูชาพระธาตุอินทร์แขวนจำลองแล้วยังจะได้สัมผัส องค์พระผุด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      บ่าย นำท่านเที่ยวชม ถนนสายหม้อฮ่อม บ้านทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ บ้านทุ่งโฮ้ง ตั้งอยู่ในตัวอำเภอเมืองแพร่ ถือได้ว่าเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในปัจจุบันด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าหม้อฮ่อม หม้อฮ่อมเป็นชื่อผ้าย้อมพื้นเมืองสีกรมท่าที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองแพร่มานานแล้ว เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็น ถึงความงามทางวัฒนธรรมการแต่งกายของคนเมืองแพร่อย่างแท้จริง ถนนสายหม้อฮ่อม นั้นเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าหม้อฮ่อมตลอดสองข้างทางยาวกว่า 4 กิโลเมตร
      นำท่านเดิมชม พิพิธภัณฑ์คุ้มวงศ์บุรี หรือ บ้านวงศ์บุรี อาคารสีชมพูโดดเด่น อายุกว่า 100 ปี ตั้งอยู่ที่ถนนคำลือ อำเภอเมืองแพร่  คุ้มวงศ์บุรี สร้างขึ้นตามดำริของแม่เจ้าบัวถา ชายาองค์แรกในเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย เพื่อเป็นของกำนัลในการเสกสมรสระว่างเจ้าสุนันตา ผู้เป็นบุตรีเจ้าบุรีรัตน์ และหลวงพงษ์พิบูลย์ คุ้มหลังนี้เป็นอาคารแบบไทยล้านนาผสมยุโรปสีชมพูอ่อน ซึ่งเป็นสีโปรดของแม่เจ้าบัวถา เป็นเรือนไม้สักทองขนาดใหญ่ 2 ชั้นประดับตกแต่งลวดลายด้วยไม้ฉลุที่เรียกว่าลาย “ขนมปังขิง” ตามสมัยนิยมในรัชกาลที่ 5 ที่ถูกสร้างไว้อย่างสวยงามอยู่ทั่วตัวอาคาร เช่น หน้าจั่ว สันหลังคา ชายน้ำ ช่องลม กรอบเช็ดหน้าเหนือประตูและหน้าต่างระเบียง  ภายในอาคารปรากฎลวดลายพรรณพฤกษาและลายเครือเถา เป็นต้น ฐานรากของอาคารเป็นท่อนไม้ซุงเนื้อแข็งขนาดใหญ่วางเรียงกันก่อน
      จะก่ออิฐเทปูนทับลงไปเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของอาคาร  คุ้มวงศ์บุรีประกอบด้วย ห้องที่น่าสนใจ คือ ห้องของเจ้าบัวถา ห้องรับแขก ห้องนอน ซึ่งในแต่ละห้องมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ ตู้ เตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ โต๊ะเครื่องแป้ง ถ้วย ชาม เครื่องเงิน กำปั่นเหล็ก อาวุธโบราณ พระพุทธรูปโบราณสมัยเชียงแสนอู่ทอง รวมถึงรูปภาพเก่าแก่ต่างๆ ที่ประดับบอกเรื่องราวของบ้านหลังนี้
      พาท่านแวะ วัดพงษ์สุนันท์ ภายในวัดมีพระนอนสีทองอร่ามประดิษฐานอยู่ริมกำแพงเป็นสัญลักษณ์ของวัด ใกล้กับซุ้มประตูมงคล 19 ยอด วัดพงษ์สุนันท์ เป็นวัดประจำตระกูลวงศ์บุรี เดิมเป็นวัดร้างชื่อ “วัดปงสนุก” ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2472 ได้มีการบูรณะวัดและสร้างวิหารใหม่
      นำท่านเดินเที่ยวเล่น กาดกองเก่า หรือ ถนนคนเดินเมืองแพร่ ตั้งอยู่บนถนนคำลือ ใกล้บ้านวงศ์บุรีและวัดพงษ์สุนันท์ ซึ่งถนนเส้นนี้เป็นย่านบ้านเรือนที่ยังคงเป็นอาคารเก่า โดยมี 2 กาดอยู่ติดกันคือ กาดกองเก่า กับ กาดพระนอน นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมทั้งสองกาดได้ จัดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ค้าขายสินค้าในท้องถิ่น กิจกรรมสันทนาการของคนในชุมชน เป็นแหล่งพบปะของคนเมืองแพร่ และเป็นแหล่งถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์ 
      (กาดมีแค่วันเสาร์เท่านั้น ตลาดจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม)
      เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ เฮือนนานา บูติค โฮเต็ล หรือเทียบเท่า

  • Day 4
    เมืองแพร่-พิษณุโลก-กรุงเทพฯ (B/L)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      08.30 น. นำท่านเดินทางไปยัง เมืองพิษณุโลกสองแคว <180 กิโลเมตร / 2.5 ชั่วโมง>
      11.00 น. เดินทางมาถึงยังเมืองพิษณุโลก นำท่านเดินทางไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพิษณุโลก ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดใหญ่" ตั้งอยู่ที่ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร เป็นสถานที่ประดิษฐาน พระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับ การยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย อันมีคำกล่าวสรรเสริญจากรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ดังนี้ “เห็นพระพุทธลักษณะแห่งพระพุทธชินราชว่างามหาพระพุทธรูปองค์ใดเปรียบมิได้ ครั้นเมื่อสร้างวัดเบญจมบพิตรขึ้นได้พยายามหาพระพุทธรูปซึ่งจะเป็นพระประธานทั้งในกรุงแลหัวเมือง...ก็ไม่เป็นที่พอใจ จึงคิดเห็นว่าจะหาพระพุทธรูปองค์ใดให้สวยงามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว”
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น 
      บ่าย คณะออกเดินทางจาก พิษณุโลก กลับสู่ กรุงเทพฯ <390 กิโลเมตร// 5.5 ชั่วโมง>
      เย็น เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ 

      **************************

Top